ประวัติความเป็นมาของ
ปืนไรเฟิลประจำกาย M-16
จากบนล่าง ปืน M16A1
, M16A2 , M4A1 และปืน M16A4
จากรายงานของนายทหารอเมริกัน
ที่ปรึกษากองทัพเวียตนามใต้และสังเกตการณ์ในสงครามเวียตนาม
“วันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ.1963(พ.ศ.2506) หน่วยลาดตระเวนสังกัดกองร้อยที่ 340 ของทหารเวียตนามใต้ปะทะกับทหารเวียตกงจำนวน
3 นาย ขณะออกปฏิบัติการในป่าลึก ทหารเวียตกง 2 นาย มีอาวุธปืนคาร์บิน
ลูกระเบิดขว้าง ระเบิดแสวงเครื่อง อีก 1 นายใช้อาวุธปืนกลมือ ที่ระยะประมาณ 15
เมตร ทหารเวียตนามใต้ใช้ปืนไรเฟิลจู่โจม เออาร์-15 (ต้นแบบของปืน เอ็ม-16 โดยบริษัทโคลท์ได้นำเสนอเออาร์-15
ให้แก่สำนักงาน Advanced Research Project Agency (ARPA) จำนวน
1,000 กระบอกมอบให้แก่ทหารเวียตนามใต้เพื่อทดสอบใช้งานในสนามรบ ) ยิงถูกทหารเวียตกง
3 นัด หนึ่งนัดเด็ดหัวข้าศึกออกจากคอ หนึ่งนัดถูกที่แขนทำให้แขนหลุด
อีกนัดเข้าด้านขวาของลำตัว เกิดเป็นรูบาดแผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 นิ้ว
ในความเห็นของข้าพเจ้า บาดแผลจากกระสุนเพียงนัดใดนัดหนึ่ง
ก็เพียงพอที่จะปลิดชีพข้าศึก ฯลฯ”
ปืนไรเฟิลเอ็ม-16
แจ้งเกิดเพราะสงครามเวียตนาม ปืนที่ประจำการก่อนหน้านี้คือเอ็ม-1 การ์แรนด์ และ
เอ็ม-14 นั้นน้ำหนักมาก ไม่เหมาะสมกับสงครามในป่าทึบ
ในปี
ค.ศ. 1948 (พ.ศ. 2491) กองทัพบกสหรัฐอเมริกาจัดตั้งสำนักงานวิจัยการปฏิบัติการ (Operation
Research Office หรือ ORO) มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงการปฏิบัติงานของกองทัพ
สำนักงานได้ดำเนินการค้นหาข้อมูลจากทหารผ่านศึก พบว่าร้อยละ 87
ของกลุ่มผู้สำรวจประกอบด้วยทหารราบจำนวน 602 นาย แจ้งว่าร้อยละ 95
ของการปะทะยิงต่อสู้เกิดในระยะใกล้กว่า 300 หลา (274 เมตร) และร้อยละ 5 การปะทะเกิดขึ้นที่ระยะไม่เกิน
100 หลา (91 เมตร)
นายทหารนอกราชการพันตรี
เดฟกรอสแมน (Lieutenant Colonel Dave Grossman, Retired) ให้ข้อสรุปแม้ทหารที่ได้รับฝึกมาเป็นอย่างดี
ก็ยังมีสัญชาติญาณเหมือนกับมนุษย์ทั่วๆไป นั่นก็คือมีจิตใจต่อต้านการทำร้ายผู้อื่น
ทหารที่ได้รับบาดเจ็บหรือตายส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการเล็งยิงประณีต แต่เกิดจากการยิงฉับพลันหรือยิงสุ่ม
หมายความว่า
ไรเฟิลประจำกายที่ให้ประสิทธิผลสูงสุดและเหมาะสมกับพฤติกรรมของทหารทั่วไป
ควรจะเป็นปืนที่ใช้กระสุนขนาดกลาง (เพิ่มอำนาจการยิง
สามารถขนย้ายได้จำนวนมากกว่ากระสุนขนาดใหญ่) ทำให้สามารถลดมิติและน้ำหนักของปืน
(เพิ่มความคล่องตัว) และมีคุณสมบัติยิงในระบบอัตโนมัติ
(เพิ่มโอกาสกระสุนเข้าเป้าหมาย)
คุณสมบัติปืนไรเฟิลกำหนดโดยสำนักงาน ORO
1.ใช้ซองกระสุนบรรจุได้ 20 นัด
2.น้ำหนักปืนและกระสุนต่ำกว่า 6 ปอนด์ (2.72 กก.)
3.สามารถยิงในระบบอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติ
4.กระสุนสามารถยิงทะลุหมวกเหล็กมาตรฐาน
เสื้อเกราะหรือแผ่นโลหะหนา 3.4 มม. ที่ระยะ 500 หลา (457 เมตร)
M1 Garand เป็นปืนประจำการหลักในกองทัพสหรัฐตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองจนมาถึงสงครามเกาหลี
ในปี
ค.ศ. 1956 (พ.ศ. 2499) บริษัทแฟร์ไชลด์ โดยนายยูจีน สโตนเนอร์ (Eugene
Stoner) ผู้ออกแบบและหัวหน้าโครงการ ได้นำปืน เออาร์-10 (AR-10)
มาพัฒนาและปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับคุณสมบัติที่ระบุในรายงานของสำนักงาน ORO
ไรเฟิลเออาร์-10 ใช้กระสุนขนาด 7.62 มม.
ยูจีนได้นำโครงสร้างและระบบปฏิบัติการที่โดดเด่นของไรเฟิลอื่นๆ นำมาผสมผสาน เช่น
ระบบขัดกลอนของ ไรเฟิลเอ็ม-1941 จอห์นสัน, ครอบลูกเลื่อนแบ่งออกเป็นสองส่วน
ส่วนบนและส่วนล่างมีบานพับอยู่ด้านหน้า ต้นแบบมาจากปืนเอฟเอ็น เอฟเอแอล
ประเทศเบลเยี่ยม (FN-FAL ย่อมาจาก FabriqueNationale
- Fusil Automatique Léger แปลว่า Light Automatic Rifle ปืนเล็กยาวบรรจุเอง), ระบบการทำงานด้วยแก๊สไร้ลูกสูบและก้านสูบ
แก๊สจากการเผาไหม้ของดินขับดันลูกเลื่อนโดยตรง ด้ามหิ้วและพานท้ายทำด้วยพลาสติก
โครงปืนเป็นอัลลูมิเนี่ยมผสม ทำให้ เออาร์-15 (AR-15)
มีน้ำหนักเบา 6.39 ปอนด์ (2.89 กก.)
การลดส่วนประกอบและใช้วัสดุสังเคราะห์ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มอัตราการผลิต
บน AR-10
ปืน Assault Rifle ขนาด 7.62X51
NATO จากการออกแบบของ Eugene Stoner เพื่อเข้าประกวดในโครงการจัดหาอาวุธ ล่าง M14 ที่พัฒนาขึ้นมาจากพื้นฐานของ M1
Garand
กองทัพเลือก
M14 (ขวา) ที่พัฒนาขึ้นมาจากพื้นฐานของ M1
Garand ปืนที่ส่งเข้าทดสอบชุดแรกในปี ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501)
มีปัญหาความแม่นยำและความน่าเชื่อถือ
เหตุการณ์วิกฤติถึงขนาดที่บริษัทแฟร์ไชลด์หลังจากได้ลงทุนค้นคว้าวิจัยมูลค่า 1.45
ล้านเหรียญ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502) ติดสินใจ
ขายโครงการให้กับบริษัทผลิตอาวุธปืนโคลท์ (Colt’s Manufacturing Company หรือ CMC) เป็นจำนวนเพียง 75,000 เหรียญ
ยูจีนลาออกจากบริษัทบริษัทแฟร์ไชลด์ไปอยู่กับบริษัทโคลท์
ปืนเออาร์-15
และซองกระสุนรุ่นแรกๆที่ผลิตโดยโคลท์เพื่อประจำการกองทัพยังประทับชื่ออาร์มไลท์
มีระยะหวังผลกว่า 215 หลา (200 เมตร) ยิงได้ทั้งระบบอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติ
เริ่มแรกใช้ซองกระสุนบรรจุ 20 นัดภายหลังเปลี่ยนเป็นซองกระสุน 30
นัดให้เท่าเทียมกับปืนฝ่ายตรงข้ามค่ายม่านเหล็ก เอเค-47
รายงานของกองทัพอากาศสหรัฐในปี
ค.ศ. 1961 (พ.ศ. 2504) ยอมรับคุณสมบัติของเออาร์-15 และต่อมาอนุมัติจัดซื้อจำนวน
8,500 กระบอกเข้าประจำการหน่วยสารวัตรทหารอากาศ แทนปืนเอ็ม-1 คาร์บิน
ใช้ชื่อเป็นทางการ ปืนไรเฟิลประจำการสหรัฐ, ขนาด
5.56 มม., M16 (United States Rifle, Caliber 5.56mm., M16) ในปี ค.ศ. 1964 (พ.ศ. 2508)
ปีเดียวกับที่เอ็ม16 เข้าประจำการกองทัพอากาศ กองทัพบกสั่งซื้อเออาร์-15
จุดประสงค์เพื่อทดสอบ ใช้ชื่อ XM16E1 ไรเฟิล M16
ประจำการกองทัพอากาศต่างกับ XM16E1
ตรงที่ปืนทดสอบกองทัพบกติดตั้งคันส่งลูกเลื่อน
จุดประสงค์เพื่อดันลูกเลื่อนให้เข้าที่กรณีรังเพลิงสกปรก
และแรงดันของสปริงไม่เพียงพอ
ในขณะที่กองทัพอากาศเห็นว่าคันส่งฯจะเพิ่มกลไกและราคาอาวุธโดยไม่มีความจำเป็น
AR-15/M16 รุ่นแรกที่เข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐเข้าประจำการในกองทัพเรือไทยเมื่อ
พ.ศ.2518
M16A1 ที่เพิ่มคันส่งลูกเลื่อนและมีปลอกลดแสงแบบใหม่เข้าประจำการในกองทัพเรือไทยเมื่อ
พ.ศ.2519
ค.ศ.
1966 (พ.ศ. 2509) เป็นเวลาที่ทหารสหรัฐฯในสงครามเวียตนามได้รับปืน M16 เข้าประจำการ รายงานประสิทธิภาพของ M16
กล่าวถึงปืนขัดระหว่างการสู้รบ พบทหารเสียชีวิตเนื่องจากปืนเอ็ม16
ขัดข้องยิงต่อสู้ไม่ได้
บางรายปืนอยู่ในสภาพถูกถอดเหมือนกับพยายามแก้ไขหรือทำความสะอาดอยู่ข้างกาย
ลำกล้องและรังเพลิงปืนต้นแบบเออาร์-15 ผลิตโดยบริษัทแฟร์ไชลด์
เคลือบแข็งด้วยโครมจุดประสงค์เพื่อป้องกันการสึกกร่อนและทำให้รังเพลิงลื่นลดอาการปลอกกระสุนติดค้าง
แต่ปืนที่ผลิตโดยโคลท์ซึ่งเข้าประจำการไม่มีการชุบโครม ประการที่สอง
ดินขับของกระสุนระบุโดยโคลท์และผู้ออกแบบคือยูจีนให้เป็นชนิด IMR (Improved
Military Rifle) เป็นดินขับที่เผาไหม้แล้วลำกล้องและรังเพลิงสะอาดมีวัสดุตกค้างน้อยมาก
ด้วยคุณสมบัติของดินขับผู้ผลิตนำเสนอให้กับกองทัพว่าเออาร์-15
เป็นปืนที่มีคุณสมบัติบำรุงรักษาต่ำ
ไม่จำเป็นต้องนำเสนออุปกรณ์ทำความสะอาดหรือแม้กระทั่งวิธีการบำรุงรักษา แต่กรมสรรพวุธได้เปลี่ยนดินขับเป็นชนิด Ball
ซึ่งมีคุณสมบัติต่างกับดินขับ IMR การเผาไหม้สกปรกมีเขม่าตกค้างในท่อแก๊สและรังเพลิง
ทำให้ปืนขัด และเนื่องจากดินขับชนิด Ball มีอัตราการเผาไหม้สูงกว่าดินขับ
IMR ส่งผลให้อัตราการยิงของปืนในระบบอัตโนมัติสูงกว่าที่ออกแบบไว้
ผลคือปืนสึกหรอ ชำรุดเสียหายเร็วกว่าปกติ รวมไปถึงความแม่นยำลดลงเพราะรีคอยล์และแรงสะบัดเงยที่เพิ่มขึ้น
สภาผู้แทนราษฎรคอนเกรสได้แต่งตั้งกรรมาธิการตรวจสอบปัญหาของปืนเอ็ม16
ผลคือการเปลี่ยนแปลงต่อปืนและกระสุน
และจัดโครงการฝึกวิธีการบำรุงรักษาและทำความสะอาดอาวุธ
พร้อมจัดทำคู่มือการบำรุงรักษา ลำกล้องและรังเพลิงชุบโครมแข็ง
ติดตั้งคันส่งลูกเลื่อนเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ปรับปรุงระบบเพื่อลดอัตราการยิง
พานท้ายมีช่องบรรจุอุปกรณ์ทำความสะอาด ปรับปรุงส่วนผสมดินขับกระสุน M193 เพื่อลดวัสดุตกค้าง
ในปี
ค.ศ. 1967 (พ.ศ. 2510) XM16E1 เข้าประจำการกองทัพบกสหรัฐอเมริกาในชื่อ ปืนไรเฟิลประจำการสหรัฐ,
ขนาด 5.56 มม., M16A1 (United
States Rifle, Caliber 5.56mm., M16A1) ผลจากการเปลี่ยนแปลงทำให้ปืนเอ็ม-16 มีประสิทธิภาพตามที่คาดหมาย
กลายเป็นปืนประจำการหลักทั้งสี่เหล่าทัพของกองทัพสหรัฐอเมริกา
และสัมพันธมิตรแห่งโลกเสรีและโลกเผด็จการที่อยู่ใต้อำนาจอเมริกาอีกกว่า 73 ประเทศ
กลุ่มสมาชิกนาโต้ตกลงที่จะใช้กระสุนขนาด
5.56x45 แต่ไม่พอใจกับประสิทธิภาพของกระสุน 5.56x45
Ball M193 ซึ่งเป็นกระสุนมาตรฐานที่ใช้กับปืนเอ็ม16เอ1
ในช่วงเวลาเดียวกัน หนึ่งในบริษัทผลิตอาวุธและกระสุนในภาคพื้นยุโรปตะวันตก ได้แก่
บริษัทเอฟเอ็น FN ชื่อเต็มว่า FabriqueNationale de Herstal แห่งประเทศเบลเยี่ยม ได้พัฒนากระสุน 5.56x45
แต่ปรับปรุงโดยเฉพาะหัวกระสุน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม
ข้อแตกต่างที่สำคัญของกระสุนที่ใช้รหัส SS109 ของบริษัท FN
ได้แก่ หัวกระสุนยาวและหนักกว่า M193
ในขณะที่แกนของ M193 เป็นตะกั่ว แกนของ SS109 ประกอบด้วยเหล็กกล้า (ส่วนปลาย) และตะกั่ว แต่พอเอาปืนเอ็ม16เอ1
มายิงทดสอบปรากฏว่า ประสิทธิภาพของกระสุนใหม่ดีกว่า M193 เล็กน้อย
สาเหตุหลักเนื่องจาก เกลียวลำกล้อง (ทำหน้าที่ปั่นหัวกระสุนให้หมุนรอบตัว
จุดประสงค์เพื่อสร้างความเสถียรขณะที่วิ่งผ่านอากาศ) ของรุ่นเอ1 อยู่ที่ 1 รอบ ต่อ
12 นิ้ว อเมริกันเปลี่ยนกระสุนจาก M193 มาเป็น M855 สเป็คเดียวกับ SS109 ใช้ชื่อเป็นทางการว่า 5.56x45 Nato
กลางปี
ค.ศ. 1981 (พ.ศ. 2524) ปืนเอ็ม16 ต้นแบบรุ่นใหม่ชื่อ M16A1E1
ได้ถูกพัฒนามีความแตกต่างจากเอ็ม16เอ1คือ
1.
เกลียวลำกล้อง 1 รอบ ต่อ 7 นิ้ว หรือ 1:7
เพื่อรองรับกระสุนคุณสมบัติจำเพาะตัวใหม่ SS109/เอ็ม855
2.
เปลี่ยนวัสดุและรูปทรงพานท้าย ให้คงทนและยิงง่ายกว่ารุ่นเอ1
3.
เปลี่ยนชุดฝาครอบลำกล้อง ให้ชิ้นซ้าย-ขวาเหมือนกันและสามารถสลับกันได้
4.
เปลี่ยนศูนย์เล็ง-หลังให้สามารถปรับซ้าย-ขวา และสูง-ต่ำ
5.
เปลี่ยนปลอกลดแสง ช่วยลดแรงสะบัดเงยและลดการกระจายของฝุ่นและดินขับ
ในปี
ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) กระทรวงกลาโหมสหรัฐเปลี่ยนสถานภาพปืนทดสอบใช้รหัส
เอ็ม16เอ1อี1 เป็นรหัสปืนประจำการ เอ็ม16เอ2 เริ่มต้นเข้ารับประจำการกับกองทัพนาวิกโยธิน
สหรัฐฯในปี ค.ศ. 1983 (พ.ศ. 2526) ตามด้วยกองทัพบกในปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528)
M16A2แบบ 701 เข้าประจำการในกองทัพเรือไทยเมื่อ พ.ศ.2531
ระบบการทำงานแบบ กึ่งอัตโนมัติ และอัตโนมัติ
M16A2แบบ 705เข้าประจำการในกองทัพเรือไทยเมื่อ พ.ศ.2532 ระบบการทำงานแบบกึ่งอัตโนมัติและยิงเป็นชุดๆ
ละ 3
นัด
ในช่วงระยะเวลาเดียวกันที่
เอ็ม16เอ2 เข้าประจำการ เอ็ม16เอ3 ก็เข้าประจำการกับหน่วยรักษาความปลอดภัย
และหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพเรือได้แก่หน่วยซีล (SEAL),
ซีบี (Seabee) เอ็ม16เอ3 แตกต่างจาก เอ็ม16เอ2 ที่ระบบควบคุมการยิง เอ็ม16เอ3 ระบบการทำงานแบบยิงเป็นชุดๆ
ละ 3 นัด และอัตโนมัติเข้าประจำการในกองทัพเรือไทย
เมื่อ พ.ศ.2552
รุ่นล่าสุดของเอ็ม16
ได้แก่ เอ็ม16เอ4 เป็นปืนประจำการสำหรับทหารแนวหน้าของ กองทัพบกและนาวิกโยธิน
เอกลักษณ์อยู่ที่ด้ามหิ้ว รุ่นอื่นๆตั้งแต่ เอ็ม16-เอ็ม16เอ3
ทำด้วยอัลลูมิเนี่ยมเป็นชิ้นเดียวกับชุดส่วนบนของโครงปืนสันด้านบนติดตั้งศูนย์หลัง
ด้ามหิ้วพร้อมศูนย์หลังของ เอ4 ติดตั้งบนรางพิคาทีนี่ (Mil-Std1913Picantinny Rail) สามารถถอดออกเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเล็งอื่นๆได้
สำหรับฝาครอบลำกล้องของเอ็ม16เอ4 ติดตั้งอุปกรณ์เสริม M5
RAS Handguard (RAS ย่อมาจาก Rail Adaptor System) ผลิตโดยบริษัท
Knight’sArmament
Company สามารถติดตั้งด้ามจับ, ไฟเลเซอร์,
ไฟฉาย
M16A4เข้าประจำการในกองทัพเรือไทยเมื่อ พ.ศ.2552
บริษัทโคลท์ซึ่งเดิมทีเป็นผู้ผลิตหลักของปืนเอ็ม16
ให้กับกองทัพสหรัฐอเมริกา ระหว่างทศวรรษ 1980 เกิดสภาพระส่ำระสาย
สงครามเย็นสิ้นสุด สหภาพโซเวียตล้มละลาย งบประมาณกองทัพสหรัฐฯหด ในปี ค.ศ. 1986 (พ.ศ.
2529) มรสุมธุรกิจมาเยือนโคลท์เมื่อคนงานบริษัทฯก่อเหตุหยุดงาน ประกอบกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะปืนที่ขายให้กับกองทัพลดลง
จนในที่สุดในปี ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) กองทัพบกตัดสินใจยกเลิกสัญญากับโคลท์
แต่งตั้งให้บริษัท FN Manufacturing Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ FabriqueNationale de Herstal แห่งประเทศเบลเยี่ยม มาตั้งโรงงานในสหรัฐฯเพื่อผลิตเอ็ม16 ให้กับกองทัพ
ด้วยสัญญาจำนวนเงิน 112.1 ล้านเหรียญ ผลิตปืน 266,961 กระบอกเป็นระยะเวลา 5 ปี
เริ่มต้นในปี 1990 (พ.ศ. 2533) โคลท์เหลือสัญญากับกองทัพสหรัฐเฉพาะผลิตปืนเอ็ม16
สั้น คาร์บินใช้ชื่อรหัส M4 เพียงรุ่นเดียว
M4เข้าประจำการในกองทัพเรือไทย
เมื่อ พ.ศ.2552









ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น